พาเที่ยวตุรกี TURKEY ตอนที่ 4 ชมพิพิธภัณฑ์เมฟลานา Mevlana Museum – เมืองมหัศจรรย์คัปปาโดเกีย Cappadocia – พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ Goreme Open Air Museum
ทักทายเมืองคอนย่า Konya, ชมพิพิธภัณฑ์เมฟลานา Mevlana Museum, สัมผัสดินแดนเทพนิยายคัปปาโดเกีย Cappadocia ปิดท้ายที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ Goreme Open Air Museum
วันที่ 5 สำหรับสถานที่ขึ้นบอลลูนจะมีอยู่ 2 ที่คือ ปามุคคาเล่ และ คัปปาโดเกีย วิวทิวทัศน์เบื้องหลังก็จะแตกต่างกันไป สำหรับเช้าวันนี้ ก็มีพี่ ๆ กลุ่มนึงไปขึ้นบอลลูน เหนือเมืองปามุคคาเล่ ส่วนคนที่ไม่ได้ไปก็ตื่นสายหน่อย เพื่อรอเพื่อน ๆ กลับมา ถือว่าได้พักผ่อนไปในตัว ( สำหรับผมแล้ว ผมว่าขึ้นบอลลูนที่คัปปาโดเกีย วิวน่าจะสวยกว่า) หลังจากทุกคนพร้อม ก็ออกเดินทางกันต่อไปที่ เมืองคอนย่า Konya (นับเอานะว่ากี่ ชม. ออกจากโรงแรมประมาณ 8.30 น. ถึงคอนย่าประมาณบ่าย 2 ) อย่าเพิ่งทำหน้าตกใจหรือเบื่อ หรือเซ็ง เพราะบอกแล้วไงว่า วิวระหว่างทางสวยจริง ๆ เบื่อวิวก็นอนไป อย่าไปสนอย่าไปแคร์ เมืองคอนย่า เป็นอีกเมืองที่น่ามาพัก เป็นเมืองที่เงียบ ไม่วุ่นวาย เป็นเมืองที่นิยมใช้เป็นจุดพักของการเดินทาง อดีตเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเซลจุกเตริ์ก ซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งแรกของชาวเติร์กในตุรกี หรือที่ยุคนั้นเรียก อนาโตเลีย เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ
แวะกินข้าวก่อนที่จะไปชม พิพิธภัณฑ์เมฟลานา Mevlana Museum เดิมเป็นสถานที่นักบวชในศาสนาอิสลามใช้สำหรับทำสมาธิ Whirling Dervishes โดยการเดินหมุนเป็นวงกลมขณะฟังเสียงขลุ่ย ก่อนไปทำการหมุน ต้องอดอาหาร มีการเข้าห้องฝึกทรมานร่างกาย ถึงจะไปหมุนได้ ผู้ที่มีสมาธิมาก ตัวจะลอยขึ้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้ง โดย “เมฟลาน่า เจลาเลดดิน รูมี่” ผู้วิเศษในศาสนาอิสลาม ส่วนหนึ่งของ พิพิธภัณฑ์เมฟลานา เป็นสุสานของ “เมฟลานา เจลาเลดดิน รูมี” Mevlana Celaleddin Rumi ภายนอกเป็นหอทรงกระบอกปลายแหลมสีเขียวสด ภายในประดับประดาฝาผนังแบบมุสลิม โดยใช้สีมากมายตระการตาหาชมได้ยาก ที่นี่ก็เป็นอีกที่ ที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนมากพอสมควร ผมชอบเมือง ชอบบรรยากาศ ดูไม่มีพิษภัยดี หลังจากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถโค้ช ออกเดินทางกันต่อ ไปเมืองคัปปาโดเกีย Cappadocia ( นั่งรถประมาณ 3 ชม.) นอนคืนที่ 4
วันที่ 6 สำหรับเช้ามืดวันนี้ก็เช่นกัน กิจกรรมที่เมือง คัปปาโดเกีย มีให้เลือก 2 อย่างคือ
1.ขึ้นบอลลูนชมวิวเมือง สนนราคา 230 ดอลล์ต่อคนหากจ่ายเป็นเงินสด หรือ 240 ดอลล์ต่อคนหากจ่ายเป็นบัตรเครดิต
2.นั่งรถจีฟซาฟารี ชมวิวเมืองพร้อมกับอากาศที่เย็นสบาย ราคาต่อคน 80 ดอลล์ (ไม่รับบัตรเครดิต)
ผมเลือกที่ไปรถจีฟซาฟารี ขณะที่พี่ ๆ อีกกลุ่มก็ไปขึ้นบอลลูน การนั่งรถจีฟซาฟารี ประมาณ 6 โมงเช้า คนขับรถจะขับมารับถึงหน้าโรงแรม คันนึงนั่งได้ประมาณ 3-4 คน แล้วมีกฎต้องคาดรัดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัย รถจะพาเราไปลัดเลาะเมืองชมความงามที่ธรรมชาติและมนุษย์สร้างคือ มีจุดพักเป็นระยะ เพื่อให้เราลงไปถ่ายถ่ายให้จุใจ และจุดสุดท้ายก็เป็นจุดไปชมบอลลูน พร้อมจิบไวน์คูล ๆ โดยที่เราไม่ต้องซื้อ แต่เป็นบริการจากเขา เราก็อาจจะให้ทิปไปบ้างตามธรรมเนียมครับ ใช้เวลาในการเที่ยวทั้งหมดประมาณ 1 – 1.30 ชม. แล้วก็นำพวกเรากลับมาส่งที่โรงแรม
เตรียมตัวเดินทางกันต่อ เพื่อไปชม นครใต้ดิน Underground City ที่นี่เกิดจากการขุดเจาะพื้นดินลึกลงไป 10 กว่าชั้น เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึก โดยมีชั้นล่างที่ลึกที่สุดถึง 85 เมตร ที่นี่มีครบเครื่องทุกอย่างทั้งห้องโถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องถนอมอาหาร ห้องครัว ห้องอาหาร โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน ฯลฯ แต่ขออภัยถ่ายภาพมาเบลอ เลยขอนำเสนอภาพด้านนอกถ่าย ส่วนภายในนครใต้ดิน มันจะมีบางช่วงที่แคบ ๆ หน่อย ผมมีความรู้สึกว่าอยู่นาน ๆ ไป มันอึดอัด สำหรับคนอื่นไม่รู้นะ ผมจึงเลี่ยงที่จะรีบเดินออกมาข้างนอกแทน แอบกระซิบ บริเวณตรงนี้ ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่จะขายราคาถูกประมาณ 25 TL ( ร้านอื่นๆ เมืองอื่นๆที่เราไปแวะมักจะขายผืนละ 40 – 50 TL) หลังจากนั้นบริเวณใกล้เคียง ไปแวะโรงงานทอพรมสักนิด ไม่ซื้อไม่ว่ากัน ทางร้านก็จะต้อนรับอย่างดีเสิร์ฟน้ำชาอุ่น ๆ อธิบายวิธีการทอ พร้อมนำเสนอพรมในรูปแบบต่าง ๆ ขอบอกเลยว่าสวยมากกกกกกกกกกก นุ่มมาก ราคาก็แรงพอตัว แต่ถ้าได้ของคุณภาพก็น่าซื้อครับ อย่างผืนสีฟ้านี้ ทอด้วยไหมแท้ ๆ นุ่มมาก สนราคาคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 590,000 บาท คุณพระ !!!! รถเก๋งหนึ่งคัน นี่ได้จับได้ลูบได้คลำ ถือว่าเป็นบุญบารมีมาก
** ผืนนี้ราคาประมาณ 590,000 บาท **
ระหว่างทางเราก็จะได้ชมความสวยงามของ เมืองคัปปาโดเกีย Cappadocia ไปในตัว ที่นี่เป็นดินแดนที่มีภูมิประเทศที่น่าทึ่งมากนะครับ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่แปรสภาพเป็นหุบเขา เนินเขา ร่องลึก กรวยหินและเสารูปทรงต่างๆ ที่แปลกตา Cappadocia เป็นชื่อเก่าแก่ภาษาฮิต ไทต์ (ชนเผ่ารุ่นแรกๆที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้) แปลว่า “ดินแดนม้าพันธุ์ดี” ตั้งอยู่ทางตอนกลางของตุรกี พื้นที่ที่เห็นเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเออซิเอส และ ภูเขาไฟฮาซาน เมื่อประมาณ 3 ล้านปีที่แล้ว พอเถ้าลาวาที่พ่นออกมาและมีเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายทั่วบริเวณ จนเกิดการทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา จากนั้นกระแส แดด ฝน ลม น้ำ หิมะ ก็ได้กัดเซาะกร่อนกินแผ่นดินภูเขาไฟไปเรื่อย ๆ นับแสนนับล้านปี จนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตา ดูเผิน ๆ เหมือนดินแดนในเทพนิยาย จนผู้คนในพื้นที่เรียกกันว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” ต่อมาในปี ค.ศ.1985 ยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของตุรกี
ปิดท้ายของวันด้วยการไปชม พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ Goreme Open Air Museum ศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ. 9 ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนา โดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างโบสถ์ และยังเป็นการป้องกันการรุกรานของชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ ในบริเวณนี้ มีโบสถ์ที่น่าสนใจหลายแห่งเลยครับ อาทิ โบสถ์แอปเปิ้ล (Apple Church) ภายในโบสถ์มีรูปภาพเฟรสโก้ ภาพวาดบนฝาผนังเล่าเรื่องชีวิตของพระเยซู / โบสถ์เซนต์บาราบาร่า ๖St.Barbara Church) / โบสถ์งู (Snake Church) ประวัติเปิดอ่านใน google เลยจ้า ส่วนโบสถ์ใหญ่ ๆ คือ โบสถ์แห่งความมืด (Dark Church) ส่วนใหญ่ผมเลือกที่จะเที่ยวความงามของรูปทรงที่แปลกตาด้านนอกมากกว่าครับ ก็ถือว่าได้ถ่ายรูปเพลิน ๆ และในวันเดียวกันพวกเราก็ยังได้แวะไปที่ โรงงานเซรามิค โรงงานเพชร ก่อนที่จะต้องรีบเดินทางเข้ากรุงอังคาร่า Ankara (นั่งรถประมาณ 4 ชม.) เพื่อไปแวะนอนพักคืนที่ 5
ตอนหน้า ตอนที่ 5 ขอบอกว่าห้ามพลาด เพราะจะพาทุกคนเข้า Istanbul แล้วไปเยือน พระราชวังทอปกาปิ Topkapi Palace อลังการงานสร้างอย่างมาก
สวยงาม น่าไปเที่ยวมาก
ขอบคุณมากจ้าป้า