พาเที่ยวตุรกี TURKEY ตอนที่ 3 เยี่ยมชมบ้านพระแม่มารี, เยือนเมืองโบราณพันล้านปี เอเฟซุส EPHESUS, ท่องดินแดนมหัศจรรย์ ขึ้นบอลลูนชมเมือง ปามุคคาเล่ PAMUKKALE
พาเยือน บ้านพระแม่มารี House of Virgin Mary – เมืองโบราณเอฟฟิซุส City of Ephesus – เมืองปามุคคาเล่ Pamukkale ขึ้นบอลลูน ชมความงามของธรรมชาติ
ไปต่อ …. ไม่รอแล้วนะ เข้าสู่วันที่ 4 แล้ว พวกเราตื่นตามเวลาที่กำหนด ไม่มีการอิดออดวุ่นวือ บรรดาลูกทัวร์ในบัสของผมมีทั้งมาเป็นหมู่คณะ อากับหลาน คู่สามีภรรยา คู่แฟน มาแบบเดี่ยว ๆ ก็มี วัยตั้งแต่ 20 ปลาย ๆ จนถึงเกือบ 60 ปี ทุกคนรู้จักหน้าที่ของตัวเองดีมาก ไม่มีคนชักช้า ไม่มีคนเรื่องมาก ทุกคนพร้อมช่วยเหลือกันและกันตลอดทริป เปรียบเสมือนญาติพี่น้องพากันมาเที่ยว ผมก็ได้อานิสงฆ์เรื่องอาหารการกินจากพวกพี่ ๆ ที่ขนปลาร้าสับ น้ำพริกปลาดุกฟู โจ๊กซอง ฯลฯ ทำให้การกินทริปนี้ผ่อนคลายลงไปได้เยอะเลยทีเดียว พวกเราเดินทางผ่านเมือง เซลจุก (Selcuk) เมืองเล็ก ๆ ของจังหวัด Izmir เดิมเมืองนี้เป็นเมืองกสิกรรม ปลูกฝ้าย แอปเปิ้ล ยาสูบ แต่ว่าแต่งตัวใหม่กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวไปแล้ว
ที่แรกไปชม บ้านพระแม่มารี House of Virgin Mary มีความเชื่อกันว่า ที่นี่เป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีอาศัยอยู่ และสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้ บ้านหลังนี้ถูกค้นพบโดยแม่ชีตาบอด ชาวเยอรมัน แอนนา แคเทอรีน เอมเมอริช Anna Catherine Emmerich เมื่อปี ค.ศ. 1774-1824 เธอฝันเห็นป่า ทางเดิน และเห็นพระแม่มารี แต่เธอไม่เคยมาสถานที่แห่งนี้มาก่อน จึงได้เขียนบรรยายสถานที่ไว้ในหนังสืออย่างละเอียด และเล่าเรื่องให้พระฟัง พอเธอเสียชีวิตลง มีคนพยายามสืบเสาะค้นหาบ้านหลังนี้ จนพบในปี ค.ศ. 1891 ปัจจุบันบ้านพระแม่มารี ได้รับการบูรณะเป็นบ้านอิฐชั้นเดียว มี 2 ห้อง ภายในมีรูปปูนปั้นของของพระแม่มารี สามารถเข้าไปจุดเทียนอธิษฐานขอพรได้ ซึ่ง พระสันตปาปา โป๊ป เบเนดิกส์ ที่ 6 เคยเสด็จมาเยือนที่นี่ บริเวณด้านนอกของบ้าน มีก๊อกน้ำ 3 ก๊อก ที่เชื่อกันว่า เป็นก๊อกน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ แทนความเชื่อในเรื่องสุขภาพ ความร่ำรวย และความรัก ถัดจากก๊อกน้ำ จะเป็นกำแพงอธิษฐาน Wishing Wall ซึ่งมีความเชื่อว่า หากต้องการให้สิ่งที่ปรารถนาเป็นความจริง ให้เขียนลงในผ้าฝ้ายแล้วน้ำไปผูกไว้ แล้วอธิษฐาน ( ข้างในบ้านพระแม่มารีห้ามถ่ายรูป) ส่วนผ้าฝ้าย ถ้าไปกับทัวร์ ทัวร์จะมีแจกให้ครับ ส่วนเราเขียนสู้ตายยาวเหยียดขนทุกสิ่งที่ขอมาขอพระแม่มารีเน้นเรื่องความรักเป็นหลัก
ต่อมาเดินทางต่อไปยัง เมืองโบราณเอเฟซุส City of Ephesus อดีตเป็นเมืองหลวงแห่งเอเชีย ของอาณาจักรโรมัน รุ่งเรืองขึ้นในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล ที่นี่จะได้พบกับ มหาวิหารเทพีอาร์เทมิส (Temple of Artemis) สำหรับเมืองโบราณเอเฟซุส รุ่งเรืองขึ้นในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล “พระเจ้าครีซุส” แห่งลิเดีย ทรงเลือกโจมตีนครแห่งนี้ก่อนทื่อื่นเมื่อราว 560 ปีก่อนคริสตกาล แต่พระองค์ ก็ทรงปฏิบัติต่อเชลยศึกเหมือนมิตร ใช่เชลยศึกไม่ ส่วน มหาวิหารเทพีอาร์เทมิส (Temple of Artemis) ในช่วงที่ “พระเจ้าครีซุส” ปกครองชาวเอเฟซุส วิหารนี้ยังสร้างไม่เสร็จ พระองค์ทรงเอาใจชาวเอเฟซุสและองค์เทพี ด้วยการสร้างหัวเสาคอลัมน์แกะสลักลวดลายสวยงามอุทิศให้กับวิหาร โดยมีพระนามจารึกอยู่บนหัวเสาต้นหนึ่ง ปัจจุบันเสาต้นนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ
แต่เมื่อ 356 ปีก่อนคริสตกาลในคืนที่ “พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช” ประสูติ มีคนจิตไม่ปกติคนหนึ่งชื่อ “เฮรอสตาตุส” (Herostatus) วางเพลิงเผาวิหารเพราะอยากให้ชื่อตนเป็นที่จดจำ แต่ชาวเอเฟซุส ก็ลงมือสร้างวิหารหลังใหม่ที่สวยงามยิ่งกว่าเก่าขึ้น ที่นี่ได้รับการยกย่อง ให้เป็น 1 ใน7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ
** ส้วมสมัยก่อน **
หอสมุดเซลซุส (Library of Celsus) หอสมุดเซลซุส หรือหอสมุดประจำเมืองเอเฟซุส เด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ นี่รับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตกาล ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าเราอยู่ในยุคนั้นจริง ๆ มันจะอลังการงานสร้างขนาดไหน สร้างโดย “ติเบริอุส จูลิอุส อาควิลา” อุทิศให้กับบิดา ชื่อ “ติเบริอุส จูลิอุส เซลซุส” ในปี 657-660 และได้ฝังโลงศพของบิดาที่ทำจากหินเอาไว้ใต้หอสมุดแห่งนี้ คือตอนแรกลูกจะสร้างอนุสาวรีย์ให้ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจหันมาสร้างหอสมุดแทน และ เป็นหอสมุดที่สุดยอดงานสถาปัตยกรรมเลื่องชื่อ โดดเด่นไปด้วยศิลปะแบบ “เฮลเลนนิสติก” ยุคทองของงานศิลปะของกรีก ต่อมา ใน ค.ศ. 262 หอสมุด ถูกเผาโดย ชาวกอธ (Goth) พวกเอกสาร โครงสร้างอาคารที่เป็นไม้ทั้งหมดถูกทำลาย แต่ว่าส่วนของอาคารด้านหน้าที่สร้างจากหินอ่อนไม่ได้ถูกทำลาย และยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
จากนั้นเดินต่อไปยัง สิ่งมหัศจรรย์อีกหนึ่งอย่างก็คือ โรงละครกลางแจ้ง Great Theatre โอ้โหใหญ่มากมาย ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโรงละครโบราณทั้งหมดในตุรกี จุคนได้ถึง 25,000 คน คิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรในยุคนั้น สร้างในสมัยกรีกโบราณ แต่พวกโรมันมาปรับปรุงให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น โดยการสกัดเข้าไปในไหล่เขาของภูเขาไพออน สร้างขึ้นเพื่อใช้จัดงานเทศกาลเอเฟซุสในฤดูใบไม้ผลิ หากไปยืนหรือนั่งชั้นบนสุด จะมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองได้ และถ้าไปยืนอยู่ตรงกลาง แล้วร้องเพลง เสียงมันจะก้องกังวานไปทั่ว ปัจจุบันยังใช้งานได้ดีอยู่ และมีการจัดการแสดงแสงสีเสียงบ้างครั้งคราว
และออกเดินทางต่อไป เมืองปามุคคาเล่ Pamukkale (นั่งรถประมาณ 3 ชม.) เมืองท่องเที่ยวอากาศดี ชมความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของเมืองปามุคคาเล่ คำว่า “ปามุคคาเล่” ในภาษาตุรกี หมายถึง “ปราสาทปุยฝ้าย” Pamuk หมายถึง ปุยฝ้าย และ Kale หมายถึง ปราสาท ที่นี่เป็นน้ำตกหินปูนสีขาว ที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดิน ที่มีอุณหภูมิ 33 – 35 องศาเซสเซียส ซึ่งมีแร่หินปูน (แคลเซี่ยม ออกไซด์) ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ไหลรินลงมาจากภูเขา “คาลดากึ” ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือ เอ่อล้นขึ้นมาเหนือผิวดิน และทำปฏิกิริยาจับตัวแข็งเกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่ง เป็นชั้นที่ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติ อันสวยงามแปลกตาและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้ ปามุคคาเล่ ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1988 ประชาชนจึงนิยมไปอาบน้ำ หรือนำน้ำมาดื่ม เพราะเชื่อว่า น้ำมีคุณสมบัติ ในการรักษาโรคหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคทางเดินปัสสาวะ และโรคไต ในอดีตกาลชาวโรมันเชื่อว่าน้ำพุร้อน สามารถรักษาโรคได้ แต่ตอนที่ผมไปถึงก็ช่วงเย็นแล้ว แถมมีนักท่องเที่ยวมาจากทั่วสารทิศเฮโลกันมาที่นี่ ทำให้ค่อนข้างหาจุดถ่ายรูปยาก แถมน้ำตามแอ่งที่เยอะ ๆ ก็มีอยู่จุดเดียว คือจุดที่นักท่องเที่ยวลงไปอาบแช่น้ำกัน ผมจึงเลี่ยงเดินเข้าไปข้างในลึก ๆ เพื่อไปนั่งแช่เท้ากับน้ำอุ่น ๆ สบายเท้าดีแท้ แต่ความจริงแล้วบริเวณนี้ก็มีประวัติยาวนาน
บริเวณใกล้เคียงที่นี่คือ เมืองโบราณเฮียราโปลิส (Hierapolis) มีอายุประมาณ 2,200 ปี ที่ผ่านมามีแผ่นดินไหวรุนแรงหลายครั้งจนเมืองพังยับ แล้วถูกบูรณะใหม่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 2 แต่พอไปถึงศตวรรษที่ 7 ก็ถึงยุคเสื่อมหลังถูกข้าศึกรุกราน ปัจจุบันที่เห็นคือ โรงละคร ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเฮียราโพลิส ที่นี่จุคนได้ประมาณ 12,000 คน เวทีค่อนข้างสมบูรณ์ เพราะได้มีการปรับปรุงใหม่ รวมถึงพวกรูปสลักของเทพบางองค์ก็ยังพอมีให้เห็น และที่นี่ยังมี พิพิธภัณฑ์เฮียราโพลิส สร้างขึ้นใหม่เมื่อ 1984 บนพื้นที่เดิมที่เคยเป็นโรงอาบน้ำสาธารณะ / วิหารอพอลโล สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพอพอลโล / พลูโตเนียม สถานที่เก่าแก่ที่สุดที่ชาวเมืองใช้ในการทำพิธีบูชาเทพเจ้า ฯลฯ ภายในบริเวณนี้ยังมีร้านค้า ร้านน้ำดื่ม ไอติม ไว้คอยบริเวณ หากเดินจนหมดแรงขา ก็สามารถมานั่งพักได้ เมื่อเต็มที่กับความมหัศจรรย์ ก็เดินทางเข้าที่พัก เพื่อพักผ่อนเอาแรง นอนคืนที่ 3
** 5 ภาพสุดท้าย ถ่ายจากโรงแรม Tripolis Hotel เมือง Pamukkale **
นอนเอาแรงกันก่อนนะจ๊ะ ตอนหน้า ตอนที่ 4 จะพาไปเมืองคอนย่า Konya – พิพิธภัณฑ์เมฟลานา Mevlana Museum – นครใต้ดิน – คัปปาโดเกีย – พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ Goreme Open Air Museum รับรองมีอะไรให้ได้ชมอีกเพียบ