พาเที่ยวตุรกี TURKEY ตอนที่ 6 สุเหร่าเซนต์โซเฟีย – อุโมงค์เก็บน้ำ เยเรบาตัน – ฮิปโปโดรม – สุเหร่าสีน้ำเงิน – Taksim Square
ชมความงามของสุเหร่าเซนต์โซเฟีย สุเหร่าสีน้ำเงิน ความมหัศจรรย์ของอุโมงค์เก็บน้ำ เยเรบาตัน และช็อปปิ้งย่าน Taksim Square
เรายังเที่ยวอยู่ในวันที่ 8 ใกล้ ๆ กับ พระราชวังทอปกาปิ เราเดินมาที่ สุเหร่าเซนต์โซเฟีย Mosque of Hagia Sophia มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ในอดีตโบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์ ภายในมีเสาที่สลักอย่างวิจิตร และประดับไว้งดงาม 108 ต้น (ชั้นบนขนาดเล็ก 68 ต้น ชั้นล่างขนาดใหญ่ 40 ต้น) พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนติน เป็นผู้สร้างเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่13 โดยใช้เวลาสร้างถึง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ แต่ถูกบุกทำลายเผาเสียหายหลายครั้ง พอถึงสมัย “พระเจ้าจัสตินเนียน” จึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ เมื่อประมาณปี ค.ศ 1435 แต่ต่อมาก็เกิดแผ่นดินไหวทำให้แตกร้าว แล้วก็มีการซ่อมจนเรียบร้อย พอมาในสมัยของ “พระเจ้าโมฮัมเม็ดที่ 2” ได้ดัดแปลงโบสถ์หลังนี้ให้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงความงามไว้
ปัจจุบันตอนที่ผมไป ก็มีการปิดซ่อมแซมบางส่วน ทำให้ชื่นชมความงามได้ไม่เต็มที่ แต่เท่าที่เห็นก็ถือว่ามีความขลังและอลังการเป็นอย่างมาก เราซึมซับบรรยากาศตรงนี้อย่างเต็มเวลา ก่อนที่จะเดินเท้าไปยังอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์ได้สร้างเอาไว้ นั่นก็คือ อุโมงค์เก็บน้ำ เยเรบาตัน Yerebatan Sarnici
อุโมงค์เก็บน้ำ เยเรบาตัน Yerebatan Sarnici สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิจัสตินเนียน ในปี ค.ศ. 532 เพื่อใช้เป็นที่เก็บน้ำ สำหรับใช้ในพระราชวัง สำรองไว้ใช้ในยามที่กรุงอิสตันบูล ถูกข้าศึกปิดล้อมเมือง มีความกว้าง 65 เมตร ยาว 143 เมตร และมีเสาค้ำหลังคาถึง 336 ต้น เป็นศิลปะแบบคอรินเทียนของโรมัน ปัจจุบันได้รับการบูรณะสะอาดเรียบร้อย มีทางเดินปูนเดินทะลุได้ทั่ว
เสาต้นที่แปลกตาและสะดุดตาอย่างมากคือ เสาที่สลักเป็นรูปดวงตานกยูง หรือหยดน้ำตา หรือดวงตาปีศาจ และอีก 2 ต้นคือ เสาที่มีหัวของเมดูซา กลับหัววางเป็นฐาน และอีกเสาหนึ่งหัวเมดูซาตะแคงขวาอยู่เพราะเป็นเคล็ดไม่ให้เมดูซามองใครแล้วจะกลายเป็นหิน แต่จะให้อยู่เฝ้าอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ตลอดไป อ่างเก็บน้ำใต้ดินแห่งนี้ เริ่มซ่อมแซมในปี 2511 และเปิดให้เข้าชมเมื่อ 9 กันยายน 2530 เปิดทุกวัน 09.00-18.30 น. ข้างในมืดมากครับ ต้องเดินอย่างระมัดระวังและมีสติ
*** เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยบริเวณอ่างเก็บน้ำฯ ***
เดินต่อมายังลานกว้างที่เรียกกันว่า “ฮิปโปโดรม” (Hippodrome) หรือ สนามแข่งม้าโบราณ บริเวณตรงนี้จะเป็นลานกว้าง ผู้คนนิยมมานั่งพักผ่อนรับลม รับแดด ผมยังรู้สึกชอบเลย ให้นั่งทั้งวันยังได้
*** นักท่องเที่ยวสาวชาวปาเลสไตน์ ***
สำหรับ “ฮิปโปโดรม” สร้างในสมัยจักรพรรดิเซ็ปติมุส เซเวรุส เป็นจุดศูนย์กลางของเมืองในยุคไบแซนไทน์ และเป็นสนามอาเรน่าใช้สำหรับแข่งม้า จุคนได้กว่า 100,000 คน ปัจจุบันเหลือแค่ร่องรอยจากอดีต ที่มีแค่ลานและเสาโบราณ 3 ต้น คือ เสาโอเบลิสก์แห่งกษัตริย์เธโอโดเชียส (Theodosius Obelisk) เป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมฐานกว้าง ค่อย ๆ เรียวยาวขึ้นไปเป็นยอดแหลม / เสาต้นที่ 2 เรียกกันว่า เสางู (Bronze Serpentine Column) เป็นเสาบรอนซ์ที่แกะลวดลายเป็นรูปงู 3 ตัวพันเกี่ยวกันไปมา และเสาต้นที่ 3 คือ เสาคอนสแตนติน (Column of Constantine) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1483 แต่เดิมเป็นเสาบรอนซ์ แต่ในช่วงสงครามครูเสดได้ถูกศัตรูหลอมเอาบรอนซ์ออกไปจนเหลือเพียงแค่เสาปูนเท่านั้น
มาที่ไฮไลท์ที่ทำให้อยากมาที่นี่คือ สุเหร่าสีน้ำเงิน Blue Mosque หรือ มัสยิดสุลต่านอาห์เมต (Sultan Ahmet Mosque)การเข้าไปต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยที่สุด ผู้ชายหากใส่ขาสั้นมาต้องไปรับผ้าถุงใส่ทับเข้าไป ส่วนผู้หญิงต้องมีผ้าโพกหัว และถ้าใส่ขาสั้นหรือนุ่งกางเกงรัดๆ ก็ต้องไปรับผ้าถุงมาสวมทับเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง และต้องถอดรองเท้า มีบริการถุงให้ใส่ถือติดตัวเข้าไป และต้องถอดหมวก ถอดแว่นตาดำ เพื่อเป็นการให้ความเคารพต่อสถานที่ ส่วนที่มาของชื่อ Blue Mosque เพราะว่าภายในมีการใช้กระเบื้องสีน้ำเงินในการตกแต่ง ทำเป็นลวดลายดอกไม้ต่างๆ เช่น กุหลาบ คาร์เนชั่น ทิวลิป มีหน้าต่างทั้งหมดถึง 260 บาน แต่ก็แอบเสียดายนิด ๆ ที่บางส่วนมีการซ่อมแซม ทำให้เราได้ชื่นชมไม่เต็มที่ แต่ถ้ามีโอกาสได้เข้าไปข้างในแล้ว เราจะรับรู้ได้ถึงพลังของความศรัทธาเชื่อมั่น
ตามประวัติคือ มัสยิดสุลต่านอาห์เม็ดหรือสุเหร่าสีน้ำเงิน สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1609 – 1616 มีแรงบันดาลใจต้องการสร้างให้ยิ่งใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียของคริสต์ แต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ จนมาถึงยุคของ “สุลต่านอาห์เมตที่ 1 เมห์เมต อาอา (Mehmet )” ได้บรรจงออกแบบจนอลังกาก โดยให้ตัวมัสยิดหันหน้าเข้าหาวิหารเซนต์โซเฟีย เพื่อประชันความงามและความยิ่งใหญ่ ซึ่งทั้งสองต่างอยู่คนละฟากฝั่งของจัตุรัสสุลต่านอาห์เมต แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต “สุลต่านอาห์เมต” มีโอกาสได้ชื่นชม “บลูมอสก์” ได้แค่เพียงปีเดียว ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 27 พรรษา
ปิดท้ายวันที่เดินเยอะที่สุด เดินให้สุด แล้วหยุดที่ จัตุรัสทักซิม Taksim Square แหล่งช็อปปิ้งในเขตยุโรปของอิสตันบลู ถ้าถามในความรู้สึก ผมว่าที่นี่เหมือน ไทม์ สแควร์ ของนิวยอร์ก ผสมกับ เมียงดง ของเกาหลีใต้ ผู้คนมากมายมหาศาลต่างมารวมตัวกันที่นี่เพื่อมาเดินกิน เล่น ช็อป ชิม ดื่มกันอย่างเต็มที่บนนถนนสายนี้ ที่เรียกกันว่า Istiklal Caddesi (Independence Avenue) ถนนช้อปปิ้งอันเก่าแก่ในอิสตันบูล ยาว 1.4 กิโลเมตร ตั้งแต่ Taksim Square ยาวไปจนถึง Beyoglu Station แถมสองข้างทางก็เต็มไปด้วยร้านอาหารตุรกี โรงแรมที่พัก คาเฟ่เก๋ ๆ ร้านพิซซ่า แมคโดนัลด์ Subway Burger King ร้านขายยา ขนม และสารพัดสิ่ง เสื้อผ้าบางร้านก็จัดโปรโมชั่นลดราคา
*** ร้านนี้เสื้อผ้าราคาไม่แพง และมีหลากหลายแบบมาก แนะนำให้เข้าไปชม ***
ส่วนรถรางสีแดงเห็น ก็วิ่งจาก Taksim Square ไปตามถนนใกล้กับ Tünel (1875) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่เก่าแก่ที่สุดในโลกลำดับที่สอง รองจากรถไฟใต้ดินในกรุงลอนดอน (1863) ซึ่งรถไฟก็จะมาเรื่อย ๆ เวลาเดินก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังกันหน่อย แต่ก็ไมเป็นปัญหาเลย ยิ่งไปหน้าอากาศดี ๆ นะ มันจะฟินมาก ๆ ครับ ผมเลยจัดเสื้อผ้าไปซะหลายชิ้นเลย ของมันต้องมี ไม่ซื้อได้ไงครับ จากนั้นก็เข้าโรงแรมที่พัก นอนคืนที่ 7 คืนสุดท้ายแล้วสำหรับทริปนี้ แต่การเที่ยวยังไม่หมดนะครับ
สถานที่นี้ในอดีต เคยเป็นที่ตั้งของอ่างเก็บน้ำหินยุคออตโตมันและเป็นจุดที่สายน้ำหลักจากทางตอนเหนือถูกรวบรวมและกระจายออกไปยังส่วนอื่นๆ ของเมือง ต่อมาในศตวรรษที่ 19 ก็เคยเป็นที่ตั้งของค่ายทหารปืนใหญ่ทักซิม (Taksim Artillery Barracks, Taksim Kışlası) และกลายเป็นทักซิมสเตเดี้ยม (Taksim Stadium) ก่อนที่จะถูกทำลายไประหว่างการก่อสร้าง Taksim Gezi Park ในปี ค.ศ. 1940 แต่ปัจจุบัน Taksim Square เป็นสถานที่จัดกิจกรรมสาธารณะ แหล่งรวมตัวตามเทศกาลต่าง ๆ โดยบริเวณลานกว้าง ๆ จะพบกับ อนุสาวรีย์แห่งสาธารณรัฐ (Cumhuriyet Anıtı) สร้างขึ้นโดย Pietro Canonica เพื่อเป็นเป็นอนุสาวรีย์ฉลองครบรอบ 5 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกีในปี ค.ศ. 1923 หลังสงครามอิสรภาพของตุรกี โดยมีการเปิดตัวเป็นทางการในปี ค.ศ. 1928
ภาพสวยมากครับ
ขอบคุณมากครับพี่